หลักการของอาร์ทีดี
จากการทดลองของนักวิทยาศาสตร์พบว่าค่าความต้านของลวดโลหะจะเปลี่ยนแปลงตามอุณหภูมิ ดังสมการdRt / dT = µ หรือ Rt = Ro (1+µT)
Rt = ค่าความต้านทานของลวดโลหะที่อุณหภูมิ t ๐C
Ro = ค่าความต้านของลวดโลหะที่อุณหภูมิ 0 ๐C
µ = สัมประสิทธิ์ของการเปลี่ยนแปลงค่าความต้านทานไฟฟ้าต่ออุณหภูมิ 1 ๐C (W /W/ ๐C)
อาร์ทีดีแบบที่ใช้กันมากที่สุดคือ Platinum 100 โอห์ม (Pt100) คือ ที่ 0 ๐C จะมีค่า 100 โอห์ม และจะเปลี่ยนค่าความต้านทานโดยเฉลี่ย 0.385 โอห์มต่อ 1 ๐C มีย่านอุณหภูมิใช้งานในช่วง -250 ถึง 600 ๐C ในการใช้งานปกติจะมีแหล่งจ่ายกระแสคงที่ให้อาร์ทีดีอยู่ สมมติเป็น 1 mA นั่นคือ เมื่ออุณหภูมิเปลี่ยนไป 1 ๐C จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแรงดัน 0.385 mV ซึ่งมากกว่าเทอร์มอคัปเปิล Type K ถึง 10 เท่า ทำให้มีผลกระทบจากสัญญาณรบกวนน้อยกว่าเทอร์มอคัปเปิลที่สภาวะเดียวกัน
เนื่องจากตัวอาร์ทีดีเป็นเพียงค่าความต้านทาน จึงต้องมีวงจรจ่ายกระแสให้ เพื่อให้เกิดเป็นแรงดันที่เปลี่ยนไป แล้วจึงนำแรงดันนี้ไปใช้งาน แต่กระแสจำนวนนี้ก็สร้างความร้อนขึ้นในตัวอาร์ทีดีด้วย ทำให้ค่าความต้านทานสูงขึ้น จึงจำเป็นที่จะต้องจำกัดไม่ให้กระแสเลี้ยงอาร์ทีดีนี้มีค่าสูงเกินไป
ส่วนประกอบของอาร์ทีดี
อาร์ทีดี ทำจากลวดโลหะที่มีความยาวค่าหนึ่ง ซึ่งที่ 0 ๐C จะมีค่าความต้านทานค่าหนึ่งตามที่กำหนด ลวดโลหะนี้จะพันอยู่บนแกนที่เป็นฉนวนไฟฟ้า มีคุณสมบัติทนต่อความร้อน และต้องมีสัมประสิทธิ์การขยายตัวสัมพันธ์กับการขยายตัวของขดลวดอาร์ทีดีจะถูกบรรจุอยู่ใน Matal Sheath ฉนวนที่ใช้เป็นพวกแมกนีเซียมออกไซด์ หรืออะลูมิเนียมออกไซด์
ชนิดของอาร์ทีดี
อาร์ทีดี 2 สาย
อาร์ทีดี 3 สาย
อาร์ทีดี 3 สาย เป็นแบบที่นิยมใช้ที่สุดในอุตสาหกรรม โดย สายทั้ง 3 ที่อยู่ระหว่างจุดวัดกับวงจร จะต้องมีขนาด,ความยาวเท่ากันและอยู่ในอุณหภูมิเดียวกันตลอด เพื่อให้ค่าความต้านทาน r1 , r2 และ r3 เปลี่ยนไปในทิศทาง เดียวกันด้วยขนาดที่เท่ากัน นั่นคือ
Rt + r3 = R1 + r1
R3 R2
เนื่องจาก r1 เท่ากับ r3 เพราะฉะนั้นอุณหภูมิที่วัดจึงขึ้นอยู่กับ Rt เพียงตัวเดียว ทำให้อาร์ทีดี 3 สาย มีความถูกต้องสูงกว่าอาร์ทีดีแบบ 2 สาย
อาร์ทีดี 4 สาย
อาร์ทีดี เป็น Sensor วัดอุณหภูมิที่มี Linearity ดีที่สุดมีความถูกต้องสูง และให้แรงเคลื่อนไฟฟ้าสูง แต่มีย่านการใช้งานไม่กว้างเท่ากับเทอร์มอคัปเปิลและมีราคาแพงกว่าพอสมควร
ชีตอาร์ทีดี (Sheath RTD) คือ อาร์ทีดีที่ในกระบวนการผลิตจะผ่านขั้นตอนการรีด (Reducing) ทำให้ฉนวนไฟฟ้าภายในอัดตัวแน่นเป็นพิเศษ จึงมีความไวในการวัดสูงมาก และสามารถดัดงอได้ตามลักษณะงาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น